ประวัติศาสตร์อันยาวนานของหยก
การใช้หยกมีมานานกว่า 7,000 ปี พบหลักฐานการใช้หยกในวัฒนธรรมโบราณหลายแห่ง เช่น จีน เมียนมา กัวเตมาลา และนิวซีแลนด์ ในประเทศจีน หยกได้รับการยกย่องให้เป็นอัญมณีชั้นสูง นิยมนำมาทำเครื่องประดับ เครื่องใช้สอย และประติมากรรม จักรพรรดิจีนโบราณสวมใส่เครื่องประดับหยกเพื่อแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่ง หยกยังถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เชื่อกันว่าหยกสามารถเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ
ประเภทของหยก
หยกสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ หยกเจดไดต์ (Jadeite) และ หยกเนไฟรต์ (Nephrite)
หยกเจดไดต์ : มีเนื้อแข็ง สีสันสดใส พบในเมียนมา กัวเตมาลา และรัสเซีย หยกเจดไดต์สีเขียวมรกตเป็นที่นิยมมากที่สุด แต่ยังมีสีอื่นๆ เช่น สีขาว สีดำ สีเหลือง และสีชมพู
หยกเนไฟรต์ : มีเนื้อนุ่ม สีเรียบ พบในจีน นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย หยกเนไฟรต์สีเขียวอมฟ้าเป็นที่นิยมมากที่สุด แต่ยังมีสีอื่นๆ เช่น สีขาว สีดำ และสีเหลือง
คุณสมบัติของหยก
ความแข็ง : หยกมีความแข็งสูง ทนทานต่อรอยขีดข่วน เหมาะสำหรับการสวมใส่เป็นเครื่องประดับ
ความโปร่งแสง : หยกมีทั้งแบบโปร่งแสงและแบบทึบแสง หยกเจดไดต์มักมีสีสันสดใสและโปร่งแสง ในขณะที่หยกเนไฟรต์มักมีสีเรียบและทึบแสง
ความเย็น : หยกมีสัมผัสเย็น เชื่อกันว่าหยกสามารถช่วยลดความร้อนในร่างกาย
ความเชื่อเกี่ยวกับหยก
เชื่อกันว่าหยกสามารถนำโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความสำเร็จมาสู่ผู้ครอบครอง
เชื่อกันว่าหยกสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพ บำบัดโรค และทำให้อายุยืน
เชื่อกันว่าหยกสามารถช่วยเสริมสร้างความรัก ความสัมพันธ์ และมิตรภาพ
เชื่อกันว่าหยกสามารถช่วยเพิ่มพูนสติปัญญา ปัญญา และความคิดสร้างสรรค์
การเลือกซื้อเครื่องประดับหยก
สี: หยกมีหลายสี แต่สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือสีเขียวมรกต สีขาว และสีดำ
ความโปร่งแสง: หยกมีทั้งแบบโปร่งแสงและแบบทึบแสง
เนื้อสัมผัส: หยกมีเนื้อสัมผัสเรียบเนียน เย็น
ราคา: ราคาของเครื่องประดับหยกขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทของหยก สี ความโปร่งแสง เนื้อสัมผัส และการออกแบบ